วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Flu - #ซัมเกรย์















Title : Flu

Paring : Simon Dominic x Gray

Author : silenceNight

Hastag : #ฟิคfxxg
















เสียงหอบหายใจเป็นจังหวะขึ้นๆลงๆของคนป่วย เป็นสิ่งยืนยันอย่างดีว่าตอนนี้อีซองฮวา หรือ เกรย์ ของแฟนๆ กำลังป่วยด้วยพิษไข้สูงที่กำลังทำร้าย ความร้อนจากพิษไข้เหงื่อกาฬที่ผุดออกมาตามใบหน้า ไรผม หรือแม้กระทั่งฝ่ามือที่เย็นเฉียบ ร่างบางที่นอนคุดคู้อยู่ใต้ผ้าห่ม.. สภาพเหล่านั้น ทำเอาคนที่เพิ่งก้าวเข้ามาในห้องแทบหายใจไม่ออกด้วยความเป็นห่วง เด็กน้อยของเขา.. คงทรมาณมากสินะ กีซอกคิดในใจ เขาจะทำยังไงดีที่จะช่วยคนตรงหน้าให้หายจากความทรมาณได้ เขาไม่ใช่หมอที่จะช่วยฉีดยา เขาไม่ใช่พอมดที่จะมียาวิเศษ แต่เขาเป็นแค่จองกีซอก คนธรรมดาคนนึงที่เป็นห่วงเพื่อนร่วมงาน หรืออีกตำแหน่งคือเจ้าของหัวใจเขา อย่างสุดหัวใจ
















การสาวเท้าเข้าไปใกล้คนป่วยแต่ละย่างก้าวช่างทรมาณเหลือเกิน เขาทำได้เพียงแค่ยื่นมองแค่นี้เองหรือ












ร่างสูงโปร่งก้าวไปจนถึงข้างเตียงแล้วนั่งลงบนเตียงสีขาวสะอาดเบาๆ เอื้อมมือออกไปวัดไข้ที่หน้าผากคนป่วย ทันทีที่สัมผัสก็รู้สึกได้ถึงความอุ่นร้อนที่ฝ่ามือ เขาเตรียมเช็ดตัวให้คนไข้ด้วยการเดินหาของทั่วบ้าน คุ้นเคยราวกับเป็นเจ้าของ












ฝ่ามือค่อยๆชุบน้ำและบิดผ้าขนหนูหมาดๆเตรียมจะเช็ด อีกมือเอื้อมไปเปิดผ้าห่มที่ปกปิดร่างคนป่วยออกอย่างแผ่วเบา แต่ก็มากพอที่คนตัวเล็กจะรู้สึกตัว ร่างเล็กขยับเล็กน้อยเมื่อรู้ว่ามีใครบางคนกำลังทำอะไรกับร่างกายเขา














"อือ..." เสียงแหบแห้งร้องครางออกมาเบาๆด้วยความรำคาญ ขณะที่กีซอกกำลังเช็ดผ้าขนหนูไปตามใบหน้า ลำคอและแขน













"อือ.. ไม่เอา ไม่เช็ด มันเย็นนะ"














"ไม่เช็ดไม่ได้ ตัวร้อนขนาดนี้ จะไม่หายเอานะ" ถึงแม้ว่ามือเล็กๆนั่นจะพยายามปัดป่ายมือที่กำลังเช็ดตัวให้ออกขนาดไหน แต่แรงของคนตัวเล็กๆก็สู้แรงอีกคนไม่ได้ แถมยังป่วยหนักแบบนี้















สุดท้ายเมื่อสู้ไม่ได้ ก็เลยต้องยอมให้อีกคนเช็ดตัวให้แต่โดยดี

















เมื่อเช็ดตัวเสร็จแล้วเขาก็เอาอุปกรณ์เหล่านั้นไปเก็บ พอกลับมาคนป่วยของเขาก็ทำท่าจะหลับไปอีกรอบแล้ว เขาจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่ และทำการห่มผ้าให้ ใบหน้าที่ชื้นเหงื่อก่อนหน้าดีดูมีเลือดฝาดขึ้นมาเล็กน้อย พอป่วยแบบนี้ซนไม่ได้ ดื้อไม่ได้ เด็กน้อยของเขาก็น่ารักไปอีกแบบนะ เชื่องเหมือนแมวตัวเล็กๆเลย














ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะก้มไปหอมแก้ม สูดเอาไออุ่นจากคนป่วยซักฟอด












"ทำอะไรน่ะ ตอนนี้ห้ามหอมนะ เดี๋ยวก็ป่วยไปด้วยหรอก" เสียงแหบๆจากคนที่คิดว่าหลับไปแล้วดุขึ้นมาจนกีซอกแทบจะถอนจมูกไม่ทัน













"เปล่าหอมนะ พี่กำลังวัดไข้ให้ต่างหาก"











"มั่วแล้ว ใครเขาใช้จมูกวัดไข้กันเล่า!!" คนกำลังโมโหมุดหน้าลงไปในผ้าห่ม











"ชู่ววววววววว ไม่เชื่อใช่ไหม เดี๋ยวพี่จะวัดให้ดู" เขาเปิดผ้าห่มออกมาพร้อมโน้มหน้าเข้าไปใกล้ๆ
















ไวเท่าความคิด เขาใช้ริมฝีปากจูบไลตั้งแต่หน้าผาก












เปลือกตาทั้งสองข้าง









จมูก









แก้ม








และหยุดตรงริมฝีปากบางๆนั่น










ทิ้งระยะห่างเอาไว้






แต่ก็ใกล้....







ใกล้จนคนที่อยู่ด้านล่างแทบกลั้นหายใจ















"นี่ไง วัดไข้ ตอนนี้เราน่ะตัวร้อนจะตาย"เขาใช้น้ำเสียงแผ่วเบาราวกับกระซิบ











"แต่..."











ไม่รู้ว่าอีกคนจะบ่นอะไรเขาอีก แต่เขาก็จัดการปิดปากเล็กๆนั่นด้วยจูบของเขาเสีย เขามอบจุมพิตที่แผ่วเบา ปลอบประโลม ทำให้อีกคนได้รับรู้ว่าเวลาที่ไม่สบายแบบนี้ เขาเป็นห่วงมากขนาดไหน เขาทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากอยู่ข้าง ๆ กัน สิ่งที่เขาทำได้คงจะมีเพียงเท่านี้ จูบครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งไหนๆ เด็กน้อยของเขาดูจะอ่อนแรงจากอาการป่วยไข้ เหมือนกำลังรู้สึกแย่ที่ไม่สามารถจะออกไปทำงานได้ เขารับรู้ได้จากจูบๆนี้















เขาเพียงแต่หวังว่าจูบนี้จะช่วยให้ซองฮวาพอรู้สึกดีขึ้นบ้าง อย่างน้อยก็แค่ในตอนนี้ เวลานี้...
เขาถอนจูบออกมาเมื่อรู้สึกว่าถ้าขืนแกล้งไปนานกว่านี้ คนป่วยต้องขาดอากาศหายใจแน่ๆ















เกิดความเงียบรอบตัวคนสองคนชั่วขณะ ก่อนที่อีซองฮวาจะตัดสินใจพูดขึ้น











"คืนนี้กลับเถอะนะ ผมไม่สบายแบบนี้ เดี๋ยวจะติดไข้ไปอีกคน"













"ไม่อ่ะ จะนอนที่นี่" ไม่พูดเปล่า เขาก็ล้มตัวลงนอนในผ้าห่มผืนเดียวกันกับคนป่วย พร้อมกับกอดเด็กน้อยของเขาเอาไว้
















"ไม่ได้นะ ถ้าป่วยด้วยกันขึ้นมามันจะแย่ แค่ผมไปทำงานไม่ได้ก็แย่พอแล้ว"














"ไม่ เอานะ ไม่คิดมาก จะปล่อยให้นายนอนคนเดียวได้ยังไง ในเมื่อร่างกายก็แย่ จิตใจก็แย่แบบนี้ เลิกคิดเรื่องป่วย ทุกคนเป็นห่วงนาย เลยส่งพี่มาดูแลนี่ไง แค่นอนเฉยๆก็พอ กีซอกจิงคนนี้จะดูแลนายเอง" กระชับกอดแน่น เพื่อให้อีกคนรู้สึกดี












“….”












"ถ้าได้นอนกอดนายทั้งคืนพี่จะยอมป่วยให้"






















__________________________________________



ความขี้มโนระดับเวิล์ดคลาส ชดเชยช่วงที่คมก.หายไปหลายวัน นังป่วย 
อยากไปดูแล ทั้งตัว และ <3




ห่างหายจากซัมกือไปพักนึง เรื่องยาวจะกลับมาแล้นนะ

#ฟิคfxxg 



วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

Remembrance ch.3 - #ซัมเกรย์

























Title :  Remembrance   ch.3

Paring : Simon Dominic x Gray

Author : silenceNight

Hastag : #รมบซัมเกรย์












I know your eyes in the morning sun
I feel you touch me in the pouring rain
And the moment that you wander far from me

.


.


I wanna feel you in my arms again

         







          ผมสาวเท้ายาว ๆ จนเดินมาถึงโต๊ะอาหารที่มีผู้เป็นแม่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว หญิงสูงอายุลุกขึ้นมากอดลูกชายคนเดียวของเธอเสียแน่น ให้สมกับความรัก ความคิดถึง ห่วงหาอย่างเป็นที่สุด เด็กน้อยในวันนั้นโตขึ้นเป็นชายหนุ่ม รูปร่างหน้าตาก็ไม่ได้ต่างจากรูปที่เธอเห็นจากเว็บบล็อกของเจ้าตัว ที่คอยอัพเดตชีวิตอยู่บ่อยๆ จะผิดเสียก็แต่ว่า รูปภาพสองมิติที่เห็นในจอ ไม่อาจเทียบได้กับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า นายหญิงของบ้านผละออกจากอ้อมกอดแห่งความคิดถึง มือเหี่ยวย่นปาดเร็วๆตรงข้างแก้ม ขับไล่หยาดหยดน้ำตาแห่งความดีใจออก หากร้องไห้โฮออกมา คงเสียบรรยากาศแย่









“คิดถึงลูกจัง”








“ผมก็คิดถึงแม่ครับ”







“จ้ะ นั่งลงเถอะ”









อีซองฮวานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งขวาของโต๊ะ หากแต่ตรงข้ามมีเด็กผู้หญิงที่เขาไม่คุ้นหน้านั่งอยู่ หากจะเดาคงอายุสักสี่ห้าขวบได้ เธอสวมชุดกระโปรงปักลายดอกเดซี่ ถึงจะเป็นเด็กเล็กแต่ใบหน้าสะสวยนั่นทำให้เขาเผลอจ้องจนเด็กน้อยต้องหลบตา เด็กหญิงทำเพียงแค่หันไปขอความช่วยเหลือจากคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ






“คุณย่าขา...”










“ไม่ต้องตกใจลูก นี่คุณอาซองฮวาที่ย่าเคยเล่าให้ฟังไงจ๊ะ”











คุณย่างั้นหรือ ทำไมเด็กหญิงต้องเรียกแม่เขาว่าย่า ไม่เคยไปฟันผู้หญิงแล้วทิ้ง แล้วเด็กนี่คือใครกัน อีซองฮวานั้นสุดจะรู้ เขากำลังจะถาม แต่คนที่เดินตามมาก็เข้ามานั่งลงข้างเด็กหญิงเสียก่อน ความเป็นจริงทำให้หัวใจเขาไหววูบ ...









“ป๊า มาเร็วค่ะคุณคนนี้คือคุณอาซองฮวาค่ะ คุณย่าบอก”











“อินฮวาจ๊ะ สวัสดีคุณอารึยัง” เสียงจากคุณย่าของเด็กน้อยปรามเบา ๆ










“สวัสดีค่ะ คุณอา”เด็กน้อยเอ่ยคำทักทายอย่างนอบน้อม “ป๊า หนูมีคุณอาอีกคนแล้ว ดีใจจังค่ะ”










“ครับ” กีซอกรับคำเพียงแค่นั้น








“เด็กคนนี้ .. คือ”








“ลูกสาวพี่เอง”









ลูกสาวงั้นสินะ เธอ .. สวยเหมือนแม่ของเธอสินะ ผู้หญิงคนนั้น โชคดีจัง เธอมีผู้ชายที่ดีคนนั้นเป็นสามี แล้วยังมีลูกสาวที่สวยและน่ารักเป็นของขวัญ โชคดี จนเขาอดอิจฉาไม่ได้











“แล้วแม่เธอ .. ”










“แม่ว่าลงมือทานกันดีกว่าจ๊ะ” ยังไม่ได้ถามถึงผู้หญิงคนนั้น แม่ก็ขัดขึ้นมา เขาจำใจต้องตักข้าวใส่ปาก และเก็บความสงสัยเอาไว้เงียบ ๆ สิบกว่าปีที่ไม่ได้กลับบ้าน ห้าปีที่ไม่ได้ติดต่อจองกีซอก มีเรื่องให้แปลกใจมากมายทีเดียว














มื้ออาหารวันนี้จบลงอย่างเงียบเชียบและง่ายดาย กีซอกพาลูกสาวกลับไปที่บ้าน บ้านท้ายสวนที่เคยอยู่ และยังคงอยู่จนทุกวันนี้ ส่วนเขาเองก็เก็บข้าวของให้เข้าที่ เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อที่ห้องนอนและของทุกชิ้นยังคงอยู่เหมือนเดิม เหมือนเพิ่งจากบ้านไปเมื่อวานและกลับมาในวันนี้ เพราะแม่ให้แม่บ้านทำความสะอาดไว้ตลอด เหมือนรอคอยการกลับมาของเจ้าของ









หลังจากอาบน้ำแล้วเขาทำเพียงยัดตัวเองลงในชุดนอนตัวโปรด เดินเล่นมาเรื่อย ๆ และหยุดลงที่ห้องนั่งเล่นที่แม่เขานั่งดูข่าวภาคค่ำอยู่ เขาทิ้งตัวลงข้างๆแม่ ล้มตัวลงนอนบนตักของแม่อย่างที่ชอบทำเมื่อตอนเด็ก










“เป็นอะไร มานอนตักแม่เป็นเด็ก ๆ”











“เธอชื่ออินฮวาหรือครับ”










“อ่อ จ๊ะ อินฮวา พ่อเขาเป็นคนตั้งเองน่ะ ปีนี้ก็ห้าขวบแล้วนะ”








“เธอสวยเหมือนแม่เธอเลยนะครับ”











“จริงด้วย สวยเหมือนมินซอจริงๆ” มินซอ ชื่อของเธอคนนั้น “เสียดาย แม่เขาไม่ได้มีโอกาสเห็นอินฮวาตอนโต ว่าเธอเป็นเด็กน่ารักแค่ไหน”









“ท .. ทำไมเหรอครับ”










“มินซอร่างกายไม่แข็งแรง เธอเสียหลังจากที่เธอคลอดลูก หมอช่วยไว้ได้แต่คนลูก”










ความจริงที่ปิดประตูไม่ยอมรับรู้ค่อยๆเผยออกมาทีละนิด อันที่จริงกลับมาก็เตรียมใจว่าต้องพบกับเธอ เธอคงมีความสุขอยู่กับกีซอก แต่ความจริงช่างน่าเศร้า










“ผู้ชายที่เลี้ยงลูกคนเดียวนี่เก่งนะ ถึงจะมีพ่อแม่ช่วยเลี้ยง แต่การเลี้ยงลูกมันไม่ง่ายเลย กีซอกอดทนมากนะแม่นึกถึงตอนที่เขาต้องคอยกระเตงลูกไปรอบๆเพราะลูกไม่สบาย แม่เลยให้แกเรียกแม่ว่าย่า แกจะได้รู้สึกว่ามีคนรักแกเยอะ ๆ ไม่รู้สึกด้อยที่ขาดแม่”







“ผมไม่เคยรู้เลย”









“ก็เราไม่ยอมฟังเวลาแม่จะเล่า ตัดบททุกที”









“ก็มันยุ่งนี่ครับ”










“แม่น่ะ อยากเลี้ยงหลานมาก ลูกไม่ยอมแต่งงานซะที ได้อินฮวามาเล่นด้วยก็ไม่ค่อยเหงา”













เขาจำใบหน้าอันงดงามของเธอได้ไม่ลืม ผิวขาวๆของเธอแทบจะกลืนไปกับชุดแต่งงาน ที่ได้เห็นจากภาพถ่ายเมื่อห้าปีก่อน ที่กี่ซอกส่งให้พร้อมกับเชิญมางานแต่ง ที่บอกกับตัวเองว่าจะไม่มีวันไปร่วมยินดี ในนั้นจำได้ว่าเธอสวยมาก ใบหน้ายิ้มแย้ม แต่แววตากลับเปื้อนทุกข์ เขาไม่รู้ว่าทั้งสองคนตกหลุมรักกันยังไง ไม่รู้ว่าทำไมถึงตกลงปลงใจแต่งงานเร็วขนาดนั้น ไม่รู้เลย
















คนที่รักที่สุด รักมาทั้งชีวิต กำลังจะได้แต่งงาน เขาในตอนนั้นไม่สามารถที่จะมาร่วมยินดีได้จริงๆ ในใจมันเจ็บปวดถึงแม้จะรู้ว่ารักของตนอาจไม่สมหวัง แต่การไปเรียนต่ออีกซีกโลก ทำให้หลายๆอย่างเปลี่ยนไป ทำให้เขาต้องพลาดอะไรหลายๆอย่างในชีวิต จนคิดว่าจะไม่กลับมาอีก หากแต่เรื่องราวที่ได้ยินกลับทำให้ความอิจฉามันลดลง กลับเป็นความสงสารในเวลาอันรวดเร็ว คงไม่มีใครยินดีกับการตายของใคร หากแต่เขาก็ไม่ได้เสียใจ แต่กำลังคิดว่า จองกีซอก คนที่เขารักจะต้องสูญเสียภรรยาไป จะผ่านความยากลำบากในตอนนั้นมาอย่างยากเย็นแค่ไหน









“ผมชอบพี่ ไม่สิผมรักพี่ พี่กีซอก”









“พูดเป็นเล่น”












“ไม่ได้พูดเล่นนะ รักมานานแล้วด้วย พี่ไม่รู้เหรอ พี่มันเซ่อจริงๆ” อีซองฮวาในวัยสิบแปด กลั้นใจสารภาพความรู้สึกกับคนที่เป็นเหมือนพี่ชาย “หรือพี่รังเกียจผู้ชายที่คบกับผู้ชายด้วยกันเหรอ”










“ไม่ได้รังเกียจ ยิ่งเป็นนายพี่ก็ไม่รังเกียจ แต่..”











“แต่อะไร”











“สักวันพี่ต้องแต่งงานมีครอบครัว”













“นี่ผมอกหักเหรอ”











“พ่อแม่พี่มีลูกชายคนเดียว พี่ต้องแต่งงานเพื่อครอบครัว นายก็เหมือนกันซองฮวา”











อาการอกหักมันเป็นแบบนี้นี่เองเหรอ เพิ่งจะเคยอกหักครั้งแรก เป็นแบบนี้เหรอ รู้สึกเหมือนอยากร้องไห้ แต่กลับร้องไม่ออก ข้ออ้างของพี่กีซอกนี่มันฟังไม่ขึ้นเลย ถ้าบอกว่าไม่รัก มันคงจะรู้สึกเสียใจน้อยกว่านี้สักนิด เด็กหนุ่มวัยสิบแปดที่เพิ่งจะอกหักครั้งแรก นอนโง่ๆทั้งวัน ไม่ยอมไปเรียน ไม่กินข้าว จนคนที่บ้านเป็นห่วงกันใหญ่









 คิดถึงจัง คิดถึงเวลาพี่กอดตอนนั้นที่เราตากฝน เด็กคนนั้นหนาวจนตัวสั่น





คิดถึงจัง คิดถึงมืออุ่นๆของพี่ที่จับไว้เวลากลัวเด็กคนนั้นหลงทาง







คิดถึงจัง ดวงตาคู่นั้นของพี่ที่มองมาอย่างให้กำลังใจ เวลาที่เด็กคนนั้นแพ้ และร้องไห้








ในวันนั้น เด็กคนนั้นได้แต่นอนมองเพดานด้วยความเจ็บปวด แต่กลับหายอกหักได้ภายในสามวัน เด็กคนนั้นกลายเป็นผู้ใหญ่คนนี้ ที่กำลังนอนหนุนตักแม่ น้ำตาไหลเงียบ ๆ เมื่อได้ฟังเรื่องราวที่ไม่เคยฟังมาตลอดระยะเวลาห้าปีด้วยหัวใจที่เจ็บปวด








-----------------------------



ไทม์ไลน์ของเรื่องงงไหม ไม่งงเนาะ







ขอบคุณทุกคนที่หลงเข้ามาอ่านนะคะ 

(ไปค่ะเก็บตังวันละสองบาทไปดูอ่อมด้วยกัน โมจงมา จงมา)

 #รมบซัมเกรย์