วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2559

[os] Lucky Star 01 - #ถิงหยวน









ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งกำลังยืนก้ม ๆ เงย ๆ ดูแผนที่สลับกับมองดูป้ายรถเมล์ ตัวเลขบอกเวลาว่ารถคันที่ตนกำลังรอจะมาถึงอีกไม่กี่นาทีนี้ ร่างสูงเก็บแผนที่ลงในกระเป๋าเป้ก่อนจะขยับตัวเข้าไปยืนรอรถ โชคดีที่ไม่ใช่ชั่วโมงเร่งด่วนเลยมีคนไม่มากนัก “เฉินเหว่ยถิง” ชายหนุ่มชาวฮ่องกง นักเรียนทุนแลกเปลี่ยนคนใหม่ของมหาลัยปักกิ่ง หรือที่เรียกกันจนชินปากว่าเป่ยต้า กำลังตื่นตาตื่นใจกับบ้านเมืองที่ตนไม่คุ้นเคย การมาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองตัวคนเดียวไม่ได้ทำให้เขารู้สึกแปลกมากมายนัก เพราะที่นี่ไม่ใช่ทวีปยุโรปอะไรเทือกนั้น แบบนั้นคงปรับตัวไม่ทันกับสภาพอากาศและการกินอยู่แน่ 








เช้านี้เขากำลังจะเดินทางไปที่มหาวิทยาลัยหลังจากที่ส่งของเข้าหอพักเรียบร้อยแล้ว เหว่ยถิงบอกลาโฮสต์ที่มาอยู่ด้วยชั่วคราวและย้ายมาอยู่หอพักของมหาวิทยาลัย และลูกชายของโฮสต์ก็เรียนอยู่คณะเดียวกันกับเขาด้วย อู๋อี้ฝานคือชื่อของเด็กหนุ่มจากแผ่นดินใหญ่วัยเดียวกันคนแรกที่ได้ทำความรู้จัก อี้ฝานเป็น ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ภายนอกดูเงียบขรึม แต่จริงๆแล้วเขาเข้ากับคนอื่นได้ง่าย พูดเก่ง จึงได้สอนเขาหลายๆอย่าง เขาหวังว่าจะได้เป็นรูมเมทของอี้ฝานแต่ก็หมดหวังแล้วเพราะอี้ฝานอยู่คนละตึกกับเขา แต่อี้ฝานบอกว่าไม่ต้องเสียใจไป เพราะส่วนของหอพักใกล้กันเดินไปหาเมื่อไหร่ก็ได้ แบบนี้ค่อยเบาใจหน่อย เพราะแอบกลัวอยู่ลึกๆเหมือนกันว่าจะไม่มีเพื่อน








รถเมลล์ที่รอมาจอดเทียบท่าแล้ว แต่เขาก็โดนมนุษย์ป้าท่านหนึ่งที่ไม่รู้ว่าโผล่มากจากไหนแซงคิวขึ้นไปก่อน ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจเบาๆ กับความป้า เฮ่อ.. คนเมืองนี้รีบสมคำร่ำลือจริงๆ ในขณะที่เขาขยับตัวจะก้าวไปข้างหน้าก็มีกระดาษปลิวมาติดตรงปลายเท้า พอก้มลงไปหยิบมาดูก็เป็นรูปถ่ายของเด็กผู้ชายที่น่าจะอายุราวๆสิบสองสิบสาม กำลังส่งยิ้มสดใสพร้อมกับชูสองนิ้ว น่ารัก.... แต่ขณะที่กำลังแอบชมคนในรูปในใจอยู่นั้นรถก็เคลื่อนตัวออกไปแล้ว







โธ่.... ต้องรอคันต่อไป เสียเวลาไปอีกสินะ






เหว่ยถิงมาถึงหอพักของมหาวิทยาลัยในเวลาสายๆ เขาโทรเรียกอี้ฝานมาช่วยเขาจัดของ แล้วก็พูดเจื้อยแจ้วให้ฟังว่ารูมเมทของตัวเองน่ารักอย่างนั้นอย่างนี้ เขาถึงกับส่ายหน้ากับความบ้าบอของเพื่อน ก็อยู่หอชายจะมีรูมเมทน่ารักๆที่ไหนกัน ภายในห้องมีแค่หนึ่งห้องน้ำ สองเตียงนอน สองโต๊ะเขียนหนังสือ ของทุกอย่างมีเป็นคู่ แต่รูมเมทของเขายังไม่เข้าหอและยังไม่ย้ายของเข้า เขาเลยยังไม่รู้ว่าเป็นใคร 




“ไหนบอกว่ามาช่วยจัดของ แชทอยู่นั่น”




“หื้ม เปล่าแชทนะ อ่านข่าว ต้องตามข่าวสารบ้านเมืองบ้าง” อี้ฝานหันมายิ้มพร้อมกับหันมือถือมาเพื่อบอกว่าเขาอ่านข่าวอยู่จริงๆ คนที่กำลังจัดหนังสืออยู่ก็รีบเดินไปดู






“นี่อ่ะ ข่าววางระเบิดรถเมล์ มีคนตายด้วยอ่ะ น่ากลัวชิบบบ”





“...”





“เฮ้ ทำไมเงียบไปล่ะ” สะกิดถามเพื่อนที่รับมือถือไปอ่านข่าวแล้วเงียบไป






“นั่น .. รถที่ฉันจะขึ้นเมื่อเช้า”







“พระเจ้าช่วย! โชคดีมากเลยที่นายไม่ได้ขึ้นไป”





“อือ..โชคดีจริงๆ” ชายหนุ่มลูบปลายนิ้วลงบริเวณกระเป๋ากางเกงข้างขวา ที่เขาแอบหยิบเอาภาพถ่ายของใครคนนั้นติดมือมา
























ชีวิตในมหาลัยของเหว่ยถิงก็ไม่ได้มีอะไรมากมายนัก ส่วนมากจะมีเพื่อนๆคอยให้ความช่วยเหลืออยู่แล้ว เมื่อห้าวันก่อนก็จัดของช่วยรูมเมท อ้อ .. ถ้าจะกล่าวถึงรูมเมทให้นึกถึงภาพหนุ่มไฮโซเจ้าเสน่ห์ อยู่ในวงสังคม เดือนคณะ ภาพลักษณ์คุยชายอะไรประมาณนั้น มันคือ หยางหยาง เฟรชชี่ถาปัตย์ ที่ภายนอกดูจะ .. ขี้เก๊กมากไปหน่อย เอ่อ ก็ไม่หน่อยล่ะ สาวติดตรึม วันๆไม่ทำอะไรนอกจากแชทและรับโทรศัพท์จากสาวๆ วันแรกๆเขาแทบจะขอร้องให้ปิดการแจ้งเตือนไปซะ






“อี้ฝานวันนี้ว่างป่ะ ตอนเย็นไปกินข้าวกัน” เขาสะกิดถามคนที่กำลังนั่งเอาหน้าจุ่มหนังสือการ์ตูนอยู่








“อ่า โทษทีว่ะเพื่อน เย็นนี้จะไปซื้อของเข้าห้องกับรูมเมทอ่ะ นายไปด้วยกันก็ได้นะ ไปมะ”








“รูมเมทที่เคยบอกว่าน่ารักอ่ะนะ”





“ใช่แล้ว น่ารักและพูดเพราะมาก เหมือนนางฟ้าเลย” 








"เพ้อเจ้อ ผู้ชายจะเป็นนางฟ้าได้ไง เดี๋ยวไปกับหยางหยางก็ได้"










[ไฮ!! ว่าไงสุดหล่อ โทรมามีไรเสียงรับโทรศัพท์หมอนี่มีเอกลักษณ์ชะมัด หยางหยางผู้นี้นี่เอง






“กินข้าวกัน เย็นนี้”





[โอ๊ะ ... ซอรี่ด้วยครับคุณเพื่อน เย็นนี้ผมมีนัดกับพี่เจสซี่ครับ]





“เห็นคนอื่นดีกว่าเพื่อนเหรอ”





[นาทีนี้ต้องดีกว่าจริงๆครับเพื่อน กว่าพี่เขาจะเคลียร์คิวให้ได้นี่รอมานานนนน]





“เออๆ ไปคนเดียวก็ได้ ไม่เป็นไร”





หัวเสียเล็กน้อยก่อนจะวางสายไป ปกติก็ไม่ได้ติดเพื่อนอะไรหรอก แต่เย็นนี้น่ะมันวันเกิด วันเกิดปีแรกอยู่ไกลบ้านทั้งทีก็ไม่อยากอยู่คนเดียวป่ะวะ





ไหนมีใครบอกเพื่อนกินหาง่ายไง ....





















จากแผนที่ว่าจะเลี้ยงข้าวเพื่อนกลับกลายเป็นว่ามานั่งคนเดียวในร้านเค้กแถวๆมหาลัยซะงั้น เขาเลือกที่นั่งฝั่งติดถนนเพื่อที่จะได้มองบรรยากาศยามค่ำคืนได้ การที่ชายหนุ่มมานั่งโดดเดียวในร้านเค้กตอนกลางคืนแบบนี้ถ้าใครมองมาคงจะคิดว่าเขาโดนแฟนเบี้ยวนัดแหงๆ เหว่ยถิงเพิ่งมารู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนขี้เหงาก็วันนี้แหละ





เขาเลือกสั่งทีรามิสุของโปรดมากับอเมริกาโน่หนึ่งแก้ว และขอเทียนเล่มเล็กๆจากพนักงานที่เค้าท์เตอร์มา จัดงานวันเกิดปีแรกนอกบ้านเกิดเมืองนอนให้ตัวเองเสร็จสรรพ ร้องเพลงวันเกิดในใจเบาๆแล้วหลับตาขอพรต่อพระผู้เป็นเจ้า






ขอให้ผมได้พบเขา ผู้ที่เป็นดั่งดวงดาวที่ทำให้ผมรอดปลอดภัย






เมื่อเปิดเปลือกตาหลังจากขอพรเสร็จ ยังไม่ทันจะได้เป่าเทียน เขาก็เหลือบไปเห็นใบหน้าที่เหมือนจะคุ้นเคยที่นอกร้าน ใบหน้าของคนที่เขาหวังจะได้พบและกล่าวขอบคุณ คนที่เป็นดั่งโชคชะตา ไม่ใช่เด็กในรูป เขาโตกว่านั้นน่าจะสักห้าหกปีได้ แต่โครงหน้าที่ยังคงเดิมทำให้เขาคิดว่าคือคนนี้ ไม่พลาดแน่ สองขาพาตัวเองวิ่งออกมาจากร้านเพื่อที่จะเจอคนๆนั้น แม้จะรู้ดีว่าอาจจะถูกมองว่าเป็นคนแปลกประหลาด แต่เขาไม่สนใจหรอก เขาถือว่าคนๆนี้เป็นคนที่ช่วยชีวิตเขาไว้ แต่ถึงแม้ว่าจะออกมานอกร้านได้แล้ว แต่มันก็สายเกินไป เมื่อคนที่ต้องการจะพบถูกกลืนหายไปกับฝูงชนเสียแล้ว










เหมือนจะใกล้ แต่ช่างห่างไกล


เหมือนจะใช่ แต่ก็อาจจะไม่ใช่



ถ้านี่คือโชคชะตาหวังว่าเราจะได้พบกันอีก ดวงดาวของผม...






_____________________



มันมาอีกแล้ววววว เรื่องนี้สองตอนจบนาจา 


#ฟิคfxxg

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2559

[os] Silhouette - #ถิงหยวน




















เรื่องนี้เป็นตอนต่อจาก Outlaws of Love นะคะ เผื่อใครยังไม่เคยอ่าน >> [os] Outlaws of Love - #ถิงหยวน
















I'm tired of waking up in tears
'Cause I can't put to bed these phobias and fears
I'm new to this grief I can't explain
But I'm no stranger to the heartache and the pain







ร้อน






ทำไมมันร้อนแบบนี้




ทางที่เดินอยู่แปลกไปจากทุกวัน เขากำลังเดินอยู่ที่ไหนสักที่ มันร้อน และกว้าขวางสุดลูกหูลูกตา รอบกายไม่มีใครเลย ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากตัวเองสองขายังคงก้าวเดินไปเรื่อยๆ หากแต่ตอบตัวเองไม่ได้ว่าจะไปไหน หวังหยวนจำได้ว่าตลอดทั้งชีวิตของเขาไม่เคยมาเยือนที่แห่งนี้ จิตใต้สำนึกบอกเขาว่านี่คือความฝัน ใช่..เขากำลังฝัน แต่ฝันนี้มันทรมาณเหลือเกิน สองขาที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางไกล ลำคอที่แห้งผาก





จะออกจากฝันนี้ยังไง นั่นคือคำถาม





ในขณะที่กำลังสับสนวุ่นวายอยู่นั้น เขาสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างกำลังพุ่งตรงมาทางเขา บางอย่างที่เขาเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร รู้แต่เพียงว่ามันน่ากลัว น่ากลัวมาก สมองสั่งให้สองขาเริ่มขยับอีกครั้ง หากแต่ไม่ใช่การเดินอย่างไร้จุดหมายอย่างคราวก่อน ตอนนี้เขากำลังวิ่ง วิ่งหนีให้ไกลเจ้าสิ่งน่ากลัวนั้นอย่างสุดชีวิต





ช่วยด้วย






เหว่ยถิงช่วยผมด้วย






"ช่วยด้วย!!"









"หวังหยวน" ร่างสูงสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงร้องและการดิ้นอย่างรุนแรงของคนที่นอนอยู่บนเตียงอีกฝั่ง หวังหยวนยังไม่ลืมตาด้วยซ้ำ แต่เขาเห็นว่าบนใบหน้าคนรักมีทั้งน้ำตาและเหงื่อที่ผุดพรายตามไรผมและกรอบหน้า สองมือเล็กกำผ้าห่มแน่น เขาพยายามแกะมือเล็กๆนั่นออกและพยายามปลุกให้หวังหยวนตื่นจากความฝัน







"ฝันร้ายอีกแล้วเหรอ"








"ฮึก.... " ทันทีที่ได้สติร่างเล็กก็โผเข้ากอดคนข้างๆกาย คนข้างๆเพียงคนเดียวที่เขาเหลืออยู่ เขาแทบจะบรรยายความกลัวออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เลย เขาเอาแต่สะอื้นซบหน้าลงกับเสื้อนอนของคนรักและปล่อยให้น้ำตาไหลอยู่แบบนั้น








"ไม่เป็นไรนะ มันแค่ฝัน"








"..."










"ฝันร้ายจะกลายเป็นดีนะ รู้ไหม" ฝ่ามือหยาบกร้านคู่นั้นที่อบอุ่นอยู่เสมอลูบหลังเพื่อปลอบประโลม

















The fire I began is burning me alive
But I know better than to leave and let it die












ตลอดทั้งคืนนั้นเหว่ยถิงได้แต่ปล่อยให้แขนตัวเองชาไปข้างหนึ่ง เพื่อแลกกับการที่เด็กน้อยของเขาจะไม่ฝันร้ายอีก


















"พี่ครับ ผมได้งานแล้วนะ"











"หืม งานเหรอ งานอะไร"









"งานทำความสะอาดบ้าน บ้านหลังใหญ่ๆตรงเนินเขานั่นไง พอดีเขาขาดคนทำความสะอาดผมน่าจะทำได้"









ก็จริงอยู่ที่อดีตของหวังหยวนไม่เคยทำงานบ้านเอง แต่พอพวกเขา'หนี'มา เด็กน้อยในวันนั้นเติบโตขึ้นมาก เขาทำอะไรได้ด้วยตัวเองหลายอย่าง เขาควรที่จะช่วยทำงานนอกบ้านบ้าง ไม่ใช่อยู่แต่ในบ้าน ลำพังงานในอู่ซ่อมรถของเหว่ยถิงอาจทำให้เราไม่พอกินบ้างในบางเดือน











"จะไหวเหรอ"












"ไหวสิ งานง่ายๆ ไม่ได้ทำตลอดทั้งวัน ให้ผมไปทำนะ"












"อืม ดูแลตัวเองด้วยละัน อย่าไปทำข้าวของเขาเสียหายล่ะ ไม่มีเงินใช้นะจะบอก"














"พี่อ่ะ!! ผมไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ"









มื้อเช้าในวันนั้นก็จบลงด้วยเสียงหัวเราะอันสดใส